บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ (20 ปีบริบูณณ์) จะต้องอยู่อำนาจปกครองของบิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่หากบุตรนั้นเกิดจากบิดามารดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันแล้ว บุตรย่อมอยู่ภายใต้อำนาจปกครองบุตรของมารดาเพียงผู้เดียว กรณีนี้ บิดาจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรร่วมมารดาได้ ทำได้โดยรับรองบุตร และทำการสมรสกับมารดาโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือศาลพิพากษาว่า เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดา ซึ่งวิธีที่กล่าวมานี้จะมีผลย้อนหลังไปนับแต่วันที่เด็กเกิด ลำพังเพียงรับรองเด็กโดยพฤตินัย เช่น ให้ใช้นามสกุล เลี้ยงดูบุตร ให้การศึกษา มิได้ทำให้เด็กนั้นเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย เพียงแต่ทำให้เป็นผู้สืบสันสานที่มีสิทธิรับมรดกของบิดาได้เท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าบิดาหรือมารดาจะเป็นผู้มีอำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว ฝ่ายที่มีอำนาจปกครองบุตรก็ต้องยินยอมให้อีกฝ่ายติดต่อกับบุตรของตนได้ตามพฤติการณ์ตามม. 1584/1 หากไม่ยอมทำตามดังกล่าวแล้ว อีกฝ่ายที่ไม่มีอำนาจปกครองบุตรสามารถยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อขออำนาจปกครองบุตรรร่วมกับอีกฝ่ายได้ หรืออาจขอให้ถอนอำนาจปกครองบุตรก็ได้เช่นกัน
การใช้อำนาจปกครองตามที่กฎหมายกำหนดไว้นั้น ผู้ใช้อำนาจปกครองมีสิทธิ
- (๑) กำหนดที่อยู่ของบุตร
- (๒) ทำโทษบุตรตามสมควรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน
- (๓) ให้บุตรทำการงานตามสมควรแก่ความสามารถและฐานานุรูป
- (๔) เรียกบุตรคืนจากบุคคลอื่นซึ่งกักบุตรไว้โดยมิชอบด้วยกฎหมาย
นอกจากนี้ยังรวมถึงการจัดการทรัพย์สินของบุตรอีกด้วย การจัดการนิติกรรมที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของบุตรดังต่อไปนี้ ผู้ใช้อำนาจปกครองจะต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อน มิเช่นนั้นแล้วนิติกรรมดังกล่าวย่อมไม่ผูกพันตัวบุตร
- (๑) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จำนอง ปลดจำนอง หรือโอนสิทธิจำนอง ซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้
- (๒) กระทำให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งทรัพยสิทธิของผู้เยาว์อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
- (๓) ก่อตั้งภาระจำยอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน ภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอื่นใดในอสังหาริมทรัพย์
- (๔) จำหน่ายไปทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งสิทธิเรียกร้องที่จะให้ได้มาซึ่งทรัพยสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้ หรือสิทธิเรียกร้องที่จะให้ทรัพย์สินเช่นว่านั้นของผู้เยาว์ปลอดจากทรัพยสิทธิที่มีอยู่เหนือทรัพย์สินนั้น
- (๕) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี
- (๖) ก่อข้อผูกพันใด ๆ ที่มุ่งให้เกิดผลตาม (๑) (๒) หรือ (๓)
- (๗) ให้กู้ยืมเงิน
- (๘) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่จะเอาเงินได้ของผู้เยาว์ให้แทนผู้เยาว์เพื่อการกุศลสาธารณะ เพื่อการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา ทั้งนี้ พอสมควรแก่ฐานานุรูปของผู้เยาว์
- (๙) รับการให้โดยเสน่หาที่มีเงื่อนไขหรือค่าภาระติดพัน หรือไม่รับการให้โดยเสน่หา
- (๑๐) ประกันโดยประการใด ๆ อันอาจมีผลให้ผู้เยาว์ต้องถูกบังคับชำระหนี้หรือทำนิติกรรมอื่นที่มีผลให้ผู้เยาว์ต้องรับเป็นผู้รับชำระหนี้ของบุคคลอื่นหรือแทนบุคคลอื่น
- (๑๑) นำทรัพย์สินไปแสวงหาผลประโยชน์นอกจากในกรณีที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๕๙๘/๔ (๑) (๒) หรือ (๓)
- (๑๒) ประนีประนอมยอมความ
- (๑๓) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย