การดำเนินคดีแบบกลุ่ม

การดำเนินคดีแบบกลุ่ม คืออะไร

การดำเนินคดีแบบกลุ่มในประเทศไทย เป็นรูปแบบการดำเนินคดีที่เกิดขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้ โดยจะคำนึงถึงผลประโยชน์ของสาธารณะเป็นสำคัญและใช้กับคดีแพ่งเท่านั้น โดยประเทศไทย ได้กำหนดรูปแบบของการดำเนินคดีแบบกลุ่มไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง หมวด 4 ตั้งแต่ มาตรา 222/1 ถึง มาตรา 222/49 และ ข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการดำเนินคดีแบบกลุ่ม พ.ศ. 2559 ซึ่งหลักการสำคัญของการดำเนินคดีแบบกลุ่มคือ “เป็นคดีที่มีผู้เสียหายตั้งแต่ 2 คน ขึ้นไป โดยได้รับความเสียหายจากการกระทำที่ มีข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเดียวกัน โดยผู้เสียหายไม่ต้องเป็นโจทก์ฟ้องคดีเองทุกคน” โดยคดีที่พบได้บ่อยจะมีอยู่ 3 ประเภทได้แก่ คดีละเมิด , คดีผิดสัญญา และ คดีที่อาศัยสิทธิเรียกร้องตามกฎหมายต่างๆ เช่น สิ่งแวดล้อม , การคุ้มครองผู้บริโภค , แรงงาน หรือ ตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น

ปัญหาของการดำเนินคดีแบบกลุ่มในประเทศไทย

ในทางปฏิบัติการดำเนินคดีแบบกลุ่มในประเทศไทยกลับมีข้อยุ่งยามมากกว่าการดำเนินคดีแพ่งทั่วไป โดยในส่วนของ คดีแพ่งทั่วไปหากโจทก์ได้ยื่นคำฟ้องต่อศาลแล้วศาลก็จะมีคำสั่งรับคำฟ้องและกำหนดวันนัดพิจารณาตามลำดับ หากแต่การดำเนินคดีแบบกลุ่ม จะต้องมีการยื่น “คำร้องขอให้พิจารณาคดีแบบกลุ่ม” เข้าไปประกอบคำฟ้อง ตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยการดำเนินคดีแบบกลุ่ม พ.ศ.2559 หมวดที่ 2 โดยข้อกำหนดดังกล่าวยังให้สิทธิจำเลยสามารถคัดค้านคำร้องเพื่อไม่ให้โจทก์สามารถดำเนินคดีแบบกลุ่มได้ อันนำไปสู่กระบวนการไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีแบบกลุ่มซึ่งใช้ระยะเวลาพิจารณา อีกทั้งคู่ความทั้งสองฝ่ายยังคงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นได้ กระบวนการก่อนจะถึงการสืบพยานก็ยิ่งใช้ระยะเวลานานขึ้นไปอีก เช่น กรณีที่ตัวแทนผู้บริโภคยื่นฟ้องคดีแบบกลุ่ม ค่ายโทรศัพท์มือถือจากการคิดค่าบริการเกินจริง ฟ้องคดีแบบกลุ่มเมื่อเดือนมิถุนายน 2561 แต่ในเวลาต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 2564 ศาลอุทธรณ์กลับ มีคำสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีแบบกลุ่มแล้วให้ศาลชั้นต้นกลับมาดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างคดีสามัญ ซึ่งนับระยะเวลาตั้งแต่ยื่นฟ้องจนถึงวันที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่ง ก็ใช้ระยะกว่า 3 ปี โดยเป็นเพียงการพิจารณาเงื่อนไขของคดีว่าศาลจะรับพิจารณาเป็นคดีแบบกลุ่มหรือไม่ ซึ่งยังไม่มีการสืบพยานหรือพิจารณาเนื้อหาของคดีในเชิงลึก หากพิจารณาในส่วนนี้จะเห็นได้ว่าในทางปฏิบัติการดำเนินคดีแบบกลุ่มในประเทศไทย ยังมีข้อติดขัด อยู่หลายประการที่ทำให้ผู้เสียหายที่ตัดสินใจ ดำเนินคดีแบบกลุ่มต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงในด้านระยะเวลาที่ต้องเสียไปมากกว่า ผู้เสียหายที่ตัดสินใจดำเนินคดีแบบคดีแพ่งทั่วไป

ดังที่ได้เรียนในเบื้องต้น จะเห็นได้ว่าการดำเนินคดีแบบกลุ่มมีข้อดี คือ ผู้เสียหายทั้งหมดในคดีเดียวกัน จะได้รับการจัดสรรชำระค่าเสียหายในสัดส่วนที่เท่ากันเนื่องจากได้รับความเสียหายโดยอาศัยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเดียวกัน อีกทั้งจะช่วยเพิ่มอำนาจการต่อรองให้กับผู้เสียหาย เพราะจะทำให้ผู้กระทำผิดเจรจาต่อรองกับผู้เสียหายเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกดำเนินคดีแบบกลุ่ม แต่ก็มีข้อเสียในแง่ของกระบวนการก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งรับดำเนินคดีแบบกลุ่ม เพราะผู้กระทำผิดก็สามารถคัดค้านการขอดำเนินคดีแบบกลุ่มจากผู้เสียหายได้ หากท่านได้รับความเสียหาย ไม่ว่าจะด้วยจากการถูกกระทำละเมิด หรือ ผิดสัญญา และมีผู้เสียหายในกรณีนั้นๆมากกว่า 2 คน แล้วมีข้อสงสัยว่าจะสามารถใช้สิทธิดำเนินคดีแบบกลุ่มได้หรือไม่ ขอให้ท่านปรึกษาทนายความเพื่อประเมินความเสี่ยงเบื้องต้น และให้ทางเลือกที่ท่านสามารถใช้ดำเนินคดีเพื่อได้รับประโยชน์สูงสุดต่อไป

reporter Supervision | Managing Director Tsutomu Kawamura
Attorney at Law (Japan) ALG & Associates LPC.
Numerous cases of employees stealing trade secrets have been reported in the media, and the number of incidents continues.Factors behind these factors include intensifying corporate competition, the digitization of information, and increased mobility of human resources.(dummy)

Contact Us

+66-2-254-5799 Contact