การเรียกค่าเสียหาย กรณีที่ได้รับบาดเจ็บจากการกระทำละเมิด

การเรียกค่าเสียหาย : กรณีที่ได้รับบาดเจ็บจากการกระทำละเมิด

คดีละเมิดเป็นคดีที่เราสามารถพบได้บ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างคดีละเมิดที่เห็นกันได้ชัดเจนที่สุด ก็คือ “คดีอุบัติเหตุทางรถยนต์” ซึ่งมาจากการกระทำของผู้ทำละเมิด ที่กระทำโดยจงใจ หรือ ประมาทเลินเล่อ โดยผิดกฎหมายและทำให้เราได้รับความเสียหายไม่ว่าจะเป็นเสียหายแก่ ชีวิต , ร่างกาย ,อนามัย,เสรีภาพ,ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด ผู้ทำละเมิดก็ต้องรับผิดชอบในค่าสินไหมทดแทน

การกำหนดค่าสินไหมทดแทนได้ถูกระบุไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 438 โดยมีหลักเกณฑ์อยู่ว่า “ค่าสินไหมทดแทนพึงจะใช้โดยสถานใด เพียงใดนั้น ให้ศาลวินิจฉัยตามพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด” กล่าวคือ นอกจากศาลจะต้องคำนึงถึงความเสียหายที่ผู้เสียหายได้รับแล้วต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์และความร้ายแรงของการกระทำละเมิดนั้นๆ ด้วย ซึ่งเมื่อผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ ทางร่ายกาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็ได้แยกประเภทของค่าเสียหายที่สามารถเรียกได้ เอาไว้ใน มาตรา 444 และ มาตรา 446 ซึ่งเป็นค่าเสียหายที่พบได้บ่อยในคดีละเมิด ซึ่งจะประกอบไปด้วย ค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไป (มาตรา 444 วรรค 1) , ค่าเสียความสามารถในการประกอบการงานทั้งในปัจจุบันและอนาคต (มาตรา 444 วรรค 1) , ค่าเสียหายอย่างอื่นที่มิใช่ตัวเงิน (มาตรา 446)

1.ค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไป

ค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการรักษาพยาบาลจากอาการบาดเจ็บ ที่เป็นผลโดยตรงมาจากการกระทำละเมิด ไม่ว่าจะเป็น ค่ารักษาพยาบาล , ค่าเดินทางเพื่อไปรักษาพยาบาล รวมไปถึงค่าจ้างบุคคลอื่นมาดูแล (กรณีไม่สามารถดูแลตัวเองได้) สามารถเรียกให้ผู้ก่อเหตุละเมิดชดใช้ให้แก่ผู้ได้รับความเสียหายได้

2.ค่าเสียความสามารถในการประกอบการงาน

ค่าเสียหายในส่วนนี้ต้องพิจารณาว่า ความเสียหายที่เกิดกับร่างกาย จากการกระทำละเมิดส่งผลต่อการทำงานของผู้เสียหายหรือไม่ เช่น ได้รับบาดเจ็บถึงขั้นต้องตัดมือ หรือ ขา เพื่อรักษาชีวิต และต้องแขนเทียม หรือขาเทียม เท่ากับว่าผู้เสียหายจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เหมือนเดิม และไม่สามารถประกอบการงานได้ ดังเดิมจึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้

3.ค่าเสียหายอย่างอื่นที่มิใช่ตัวเงิน

เป็นค่าเสียหายที่มาจากความทุกข์ทรมานทางจิตใจ ซึ่งมาจากผลของการกระทำของผู้ทำละเมิดซึ่งไม่เป็นการซ้ำซ้อนกับค่าเสียหายส่วนอื่นๆ ดังนั้นการเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้จะต้องคำนึงถึงความเสียหายที่ส่งผลต่อตัวผู้เสียหายเป็นสำคัญ ว่า เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว อาการบาดเจ็บนั้นส่งผลต่อสภาพจิตใจของเขามากน้อยเพียงใด เช่น ผู้เสียหายถูกรถชนได้รับบาดเจ็บถึงขนาดต้องตัดขา ส่งผลให้พิการตลอดชีวิต , ผู้เสียหายถูกรถชน ทำให้มีรอยแผลเป็นบนใบหน้า ทำให้เสียบุคลิกและทุกข์ทรมาน เป็นต้น ซึ่งค่าเสียหายในส่วนนี้ศาลจะพิจารณาตามมาตรา 438 คือ พิจารณาจากพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด เป็นหลัก

ติดต่อเรา

+66-2-254-5799 Contact