ความรับผิดทางอาญา เป็นความรับผิดตามประมวลกฎหมายอาญาซึ่งได้ถูกบัญญัติขึ้น เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้กับประชาชนในสังคม ไม่ว่าจะในด้านชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน เป็นต้น โดยมุ่งเน้นถึงการกำหนดฐานความผิดและโทษจากการฝ่าฝืนกฎหมายที่กำหนดให้เป็นความผิดแต่ละฐาน
ส่วนความรับผิดทางละเมิด เป็นความรับผิดทางแพ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์โดยมุ่งเน้นให้ผู้เสียหายได้รับการชดใช้ค่าเสียหายเป็นตัวเงินจากการที่ถูกละเมิดต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน เช่นกัน
ดังนั้นในบางครั้งเหตุการณ์บางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นความผิดทางอาญา เช่น การทำร้ายร่างกาย , กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้อันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ , ทำให้เสียทรัพย์ ฯลฯ ก็จะเป็น ความผิดทางละเมิด ในคดีแพ่งด้วยเช่นกัน
ยกตัวอย่างจาก ประมวลกฎหมาย มาตรา 390 คือ “ ผู้ใดกระทำโดยประมาทและการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือ ปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ ” เมื่อเทียบกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420 คือ “ ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”
จะเห็นได้ว่า 2 มาตรา จาก 2 ประมวลกฎหมายนั้น มีหลักการที่คล้ายคลึงกันคือ เป็นการกล่าวถึงกรณีที่ ผู้เสียหายถูกบุคคลอื่นเข้ามากระทำการบางอย่างโดยประมาท จนทำให้ได้รับอันตรายแก่ร่างกายและจิตใจ แต่ข้อแตกต่างคือ ความรับผิดทางอาญาตามมาตรา 390 คือ ผู้กระทำความผิดต้องได้รับโทษจำคุก หรือ ปรับเงิน
หรือทั้งจำคุกและถูกปรับเงิน ซึ่งเงินที่ถูกปรับเป็นการเสียค่าปรับให้กับพนักงานสอบสวน หรือ ศาล
ซึ่งเป็นตัวแทนของภาครัฐ แต่ความรับผิดทางแพ่งตามมาตรา 420 คือ ผู้กระทำละเมิดต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายโดยตรง จึงอาจเรียกได้ว่า ความรับผิดทางอาญา กับ ความรับผิดทางแพ่ง ที่มาจากการกระทำโดยประมาทนั้น มีความเกี่ยวเนื่องกันในแง่ของข้อเท็จจริงในคดี แต่เป้าหมายของการดำเนินคดีนั้น กลับมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง