การเรียกเก็บหนี้

การทวงถามหนี้ หรือ เรียกให้ชำระหนี้ เป็นพฤติการณ์ที่พึงกระทำของเจ้าหนี้เพื่อรักษา สิทธิของตนเอง แต่เนื่องจากปัจจุบันมีกฎหมายเข้ามาควบคุมการทวงถามหนี้โดยเฉพาะ ซึ่งก็คือ “พระราชบัญญัติการถวงถามหนี้ พ.ศ.2558 ” เพื่อให้การทวงถามหนี้เป็นไปด้วยความเหมาะสมและไม่เป็นการละเมิดสิทธิของลูกหนี้มากจนเกินไปเช่นกัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าปัจจุบันสังคมไทยได้เข้าสู่ยุคของสังคมดิจิทัลที่ผู้คนสามารถมี นิติสัมพันธ์ต่อกันได้โดยไม่ต้องอยู่ต่อหน้ากัน การกู้ยืมเงินในปัจจุบันจึงสามารถทำได้ง่ายๆว่าสมัยก่อน เนื่องจากมีช่องทางโซเชียลมีเดียมากมาย เช่น Line หรือ Facebook เป็นต้น โดย พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2544 ก็ได้มีหลักเกณฑ์ที่รับรองว่า การกู้ยืมเงินผ่าน Line หรือ Facebook เป็นการกู้ยืมโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือต่อกัน ซึ่งสอดคล้องกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๖๕๓ ดังนั้นสิ่งที่เจ้าหนี้ทุกรายควรพิจารณาในลำดับต่อไปคือ การทวงถามหนี้ในลักษณะใดที่ต้องห้ามตามกฎหมายเพื่อไม่ให้เจ้าหนี้เป็นฝ่ายเสียเปรียบจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเสียเอง

การทวงหนี้ที่ห้ามกระทำเนื่องจากจะมีความผิดตามกฎหมาย

ตาม “พระราชบัญญัติการถวงถามหนี้ พ.ศ.2558 ” ได้กำหนดหลักเกณฑ์ที่กฎหมายมองว่าเป็นการ ทวงถามหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ๆ อยู่ในมาตรา 11 , มาตรา 12 โดยแบ่งได้ดังนี้

1.ละเมิดสิทธิของลูกหนี้โดยตรง

การทวงถามหนี้โดยการพูดจาดูหมิ่น ประจาร ข่มขู่ ใช้ความรุนแรง ทำร้ายร่างกาย ทำลายทรัพย์สินของลูกหนี้ให้เกิดความเสียหาย เปิดเผยเรื่องหนี้ของลูกหนี้ต่อบุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง หรือส่งเอกสารเปิดผนึกทางไปรษณีย์ที่แสดงให้เห็นว่าเป็นการทวงถามหนี้อย่างชัดเจน พฤติการณ์ดังกล่าวข้างต้น ถือว่าเป็นความผิดตามมาตรา 11 และต้องได้รับโทษตามกฎหมาย ตามมาตรา 39 และ 41 ของ “พระราชบัญญัติการถวงถามหนี้ พ.ศ.2558 ” โดยมีตั้งแต่ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรืออาจต้องได้รับโทษสูงสุดคือ จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (กรณีเกิดความเสียหายแก่ร่างกาย ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของลูกหนี้)

2.การทวงถามหนี้ที่เป็นเท็จ หรือทำให้เกิดความเข้าใจผิด

การทวงถามหนี้โดยการแสดงหรือใช้ข้อความทำให้เข้าใจว่าเป็นการกระทำของ ทนายความ หรือสำนักงานกฎหมาย ต้องได้รับโทษตามมาตรา 40 คือ จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่กรณีร้ายแรงหากเจ้าหนี้ได้แสดงหรือใช้ข้อความที่ทำให้เข้าใจว่าเป็นการกระทำของศาล เจ้าหน้าที่รัฐ หรือหน่วยงานของรัฐ อาจได้รับโทษสูงสุดคือ จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 41 แห่ง พระราชบัญญัติดังกล่าว

จะเห็นได้ว่าปัจจุบันมีกฎหมายเพื่อควบคุมการทวงถามหนี้ซึ่งมีโทษทางอาญาด้วยแล้วนั้น หากเจ้าหนี้ต้องการที่จะติดตามทวงถามหนี้ แต่ก็มีความกังวลว่าการทวงถามหนี้ที่กำลังจะดำเนินการ จะเข้าข่ายการฝ่าฝืน พระราชบัญญัติการถวงถามหนี้ พ.ศ.2558 อันจะส่งผลให้ท่าต้องได้รับโทษทางอาญาหรือไม่ขอแนะนำให้ท่านปรึกษาทนายความเพื่อพิจารณาพยานหลักฐานในมูลหนี้ที่เกิดขึ้นในการวางแนวทางดำเนินการ และเพื่อให้ท่านสามารถดำเนินการทวงถามหนี้และได้รับชำระหนี้โดยการใช้สิทธิอย่างถูกต้องต่อไป

ติดต่อเรา

+66-2-254-5799 Contact