จากสถิติสำนักงานทะเบียนราษฎร กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย พบว่าอัตราการหย่าของคนไทยเพิ่มขึ้นเกือบ 50% ของคนที่จดทะเบียนสมรส ตั้งแต่ 2560 – 2564 โดยปัจจัยหลักในการ “หย่าร้าง” มากที่สุดอันดับ 1 มาจากเรื่อง “ความรุนแรงในครอบครัว” โดยเฉพาะฝ่ายสามีทำร้ายร่างกายภรรยาจนทนไม่ไหว ถึงแม้จะพยายามไกล่เกลี่ยแล้ว จนไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ตามมาคือเรื่องการนอกใจและปัญหายาเสพติด
สำหรับการหย่าร้างในประเทศไทย มีอยู่ 2 รูปแบบคือ การหย่าโดยความยินยอม และการฟ้องหย่า ในกรณีที่คู่สมรสทั้งสองฝ่ายเป็นคนไทยและอาศัยอยู่ในประเทศไทย การดำเนินการหย่าค่อนข้างเป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สมัครใจหรือเป็นคนต่างชาติและมีการจดทะเบียนสมรสที่ต่างประเทศ การดำเนินการฟ้องหย่าจะมีความซับซ้อนมากขึ้น เรื่องจากมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับความช่วยเหลือและแนะนำแนวทางกฎหมายของทนายความเพื่อดำเนินการดังกล่าว
การหย่าโดยความยินยอม เป็นกรณีที่ทั้งคู่มีเจตนาที่จะสิ้นสุดการอยู่กินฉันสามีภริยาและตกลงที่จะหย่ากันได้เองโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ซึ่งตามกฎหมายบังคับให้การหย่าลักษณะนี้ ต้องทำเป็นหนังสือและมีพยานลงชื่ออย่างน้อย 2 คน โดยหากท่านได้จดทะเบียนสมรสที่สำนักงานเขตในพื้นที่หรืออำเภอ ท่านสามารถดำเนินการจดทะเบียนการหย่าต่อนายทะเบียนที่สำนักงานเขตในพื้นที่หรืออำเภอใดก็ได้ที่สะดวก การหย่าจึงจะสมบูรณ์ตามกฎหมาย
หลักฐานที่ท่านต้องนำไปแสดงในวันจดทะเบียนหย่า
- 1.1 หนังสือข้อตกลงการหย่าหรือสัญญาการหย่า ซึ่งมีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้อย 2 คน
- 1.2 บัตรประจำตัวประชาชน
- 1.3 ใบสำคัญการสมรสทั้ง 2 ฉบับ
- 1.4 พยานบุคคล 2 คน ถ้าไม่มีนายทะเบียนจะหาให้แต่ต้องเสียค่าป่วยการพยาน 2.50 บาท
- 1.5 ค่าธรรมเนียม ไม่ต้องเสียเว้นแต่ค่าป่วยการพยานที่นายทะเบียนหาให้ 2.50 บาท
- 1.6 ล่าม กรณีที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนต่างชาติ
การหย่าลักษณะนี้ เป็นกรณีที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการหย่า แต่อีกฝ่ายไม่ยินยอม การดำเนินการฟ้องหย่าลักษณะนี้จึงจำต้องยื่นฟ้องต่อศาล โดยอ้างมูลเหตุในการหย่าตามที่กฎหมายกำหนด คือ
- (1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณี กับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้ ตามมาตรา 1516 (1)
- (2) สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว ไม่ว่าความประพฤติชั่วนั้นจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ถ้าเป็นเหตุให้ อีกฝ่ายหนึ่ง
- (ก) ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง
- (ข) ได้รับความดูถูกเกลียดชังเพราะเหตุที่คงเป็นสามีหรือภริยาของฝ่ายที่ประพฤติชั่วอยู่ต่อไป หรือ
- (ค) ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร ในเมื่อเอาสภาพ ฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสา มี ภริยามาคำนึงประกอบ
อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้ ตามมาตรา 1516 (2)
- (3) สามีหรือภริยาทำร้าย หรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ หรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ ถ้าเป็นการร้ายแรง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้ตามมาตรา 1516 (3)
- (4) สามีหรือภริยาจงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกินหนึ่งปี อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้ตามมาตรา 1516 (4)
การละทิ้งร้าง หมายถึง การที่สามีภริยาแยกกันอยู่ต่างหาก โดยหมดรักหมดอาลัยใยดีต่อกัน ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 1 ปี จึงจะเป็นเหตุฟ้องหย่า โดย 1 ปีนี้ไม่ใช่อายุความเพราะอายุความยังไม่เริ่มนับ
- (4/1) สามีหรือภริยาต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก และได้ถูกจำคุกเกินหนึ่งปีในความผิดที่อีกฝ่ายหนึ่งมิได้มีส่วนก่อให้เกิดการกระทำความผิดหรือยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดนั้นด้วย และการเป็นสามีภริยากันต่อไปจะเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับความเสียหายหรือเดือนร้อนเกินควร อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
- (4/2) สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี หรือแยกกันอยู่ตามคำสั่งของศาลเป็นเวลาเกินสามปี ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
- (5) สามีหรือภริยาถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ หรือไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่เป็นเวลาเกินสามปีโดยไม่มีใครทราบแน่ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
- (6) สามีหรือภริยาไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควรหรือทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง ทั้งนี้ ถ้าการกระทำนั้นถึงขนาดที่อีกฝ่ายหนึ่งเดือดร้อนเกินควรในเมื่อเอาสภาพ ฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
- (7) สามีหรือภริยาวิกลจริตตลอดมาเกินสามปี และความวิกลจริตนั้นมีลักษณะยากจะหายได้ กับทั้งความวิกลจริตถึงขนาดที่จะทนอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาต่อไปไม่ได้ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
- (8) สามีหรือภริยาผิดทัณฑ์บนที่ทำให้ไว้เป็นหนังสือในเรื่องความประพฤติ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
- (9) สามีหรือภริยาเป็นโรคติดต่ออย่างร้ายแรงอันอาจเป็นภัยแก่อีกฝ่ายหนึ่งและโรคมีลักษณะเรื้อรังไม่มีทางที่จะหายได้ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
- (10) สามีหรือภริยามีสภาพแห่งกายทำให้สามีหรือภริยานั้นไม่อาจร่วมประเวณีได้ตลอดกาล อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
นอกจากนี้ คู่สมรสฝ่ายที่ฟ้องยังมีสิทธิตามกฎหมายบางประการ เช่น สิทธิเรียกค่าทดแทน จากชู้ของคู่สมรสของตนหรือเพราะเหตุหย่าตามข้อ 3.2 (3), (4), (8) โดยเป็นเพราะความผิดของอีกฝ่ายหนึ่ง, สิทธิเรียกค่าเลี้ยงชีพ เหตุเพราะความผิดของคู่สมรสของตน และการหย่านั้นทำให้อีกฝ่ายยากจนลง เพราะไม่มีรายได้จากทรัพย์สิน หรือการงานที่เคยทำอยู่ระหว่างสมรส โดยสิทธินี้ ตามกฎหมายกำหนดให้ต้องฟ้องหรือฟ้องแย้งมาในคดีที่ฟ้องด้วย มิเช่นนั้นหมดสิทธิ โดยการหย่าโดยคำพิพากษาของศาลจะมีผลตั้งแต่เวลาที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด แม้จะยังไม่จดทะเบียนหย่าก็ตาม
เบื้องต้นในการเตรียมตัวสำหรับการฟ้องหย่านั้น ท่านควรปรึกษาทนายความเพื่อวางแผนแนวทางในการดำเนินการฟ้องหย่า และหลักฐานที่สำคัญอันเกี่ยวกับเหตุแห่งการหย่าก่อนที่จะยื่นฟ้องต่อศาล ในกรณีที่ท่านอยู่ต่างประเทศ ทนายความสามารถยื่นฟ้องหย่าแทนท่านได้ แต่ท่านยังจำเป็นต้องมาศาลเมื่อศาลพิจารณาการฟ้องหย่า ส่วนคู่สมรสของท่านจะได้รับหมายจากศาลเกี่ยวกับการดำเนินการหย่า หากคู่สมรสของท่านไม่ตอบหมายศาลภายในเวลาที่กำหนด ศาลจะดำเนินคดีหย่าต่อไปโดยถือเป็นการผิดนัด
กรณีที่คู่สมรสของท่านเป็นคนต่างชาติ จะต้องพิจารณาถึงกฎหมายของประเทศที่ใช้ในขณะจดทะเบียนสมรส เพราะกฎหมายบางประเทศ เช่น อเมริกา การหย่ากันได้นั้นจะได้รับอนุญาตจากศาลเสียก่อน ซึ่งจะต้องมีภาระการพิสูจน์ในเรื่องกฎหมายต่างประเทศต่อศาลตามกฎหมายขัดกัน