“ ฉ้อโกง ” เป็นศัพท์ทางกฎหมายที่มักถูกหยิบหยกมาใช้บ่อยครั้ง กับเหตุการณ์ที่มีความเสียหายในด้านทรัพย์สิน
จากการถูกหลอกลวง แต่ตามกฎหมายแล้วไม่ใช่ทุกกรณีจะเป็นความผิดฐานฉ้อโกงจึงต้องพิจารณาองค์ประกอบความผิด
เรื่องฉ้อโกง เพื่อความเข้าใจในเจตนารมณ์ของกฎหมายให้มากยิ่งขึ้น
เนื่องด้วยประเทศไทย ใช้ระบบกฎหมายแบบลักษณ์อักษร ( Civil law System) ดังนั้นการจะพิจารณาว่าพฤติการณ์นั้นๆเป็นความผิดหรือไม่ อย่างไรนั้น จะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายเป็นลำดับแรก ซึ่งคำว่า “ฉ้อโกง” ถูกบัญญัติอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา ในลักษณะ 12 หมวด 3 ตั้งแต่มาตรา 341 ถึง 348 ซึ่งแต่ละฐานความผิดโดยจะเป็นความผิดต่อส่วนตัวที่สามารถยอมความได้ ยกเว้นเพียง มาตรา 343 ซึ่งเป็นความผิดฐาน “ ฉ้อโกงประชาชน” ที่เป็นความผิดต่อแผ่นดินจึงไม่สามารถยอมความได้ โดยความผิดในแต่ละฐานในกลุ่ม “ฉ้อโกง” จะมาจากพฤติการณ์ที่ผู้กระทำความผิดเจตนาหลอกลวงผู้อื่น
เพื่อให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินในรูปแบบที่แตกต่างกัน โดยผู้กระทำความผิดมีเจตนาที่จะกระทำความผิดตั้งแต่แรก แต่หากเป็นการชำระหนี้ไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วนจะเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่มีการบัญญัตินิยามของ
คำว่า “ฉ้อโกง” ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้นหากพิจารณาตามหลักกฎหมาย “ฉ้อโกง” จะถูกจัดให้เป็นคดีอาญา แต่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อาจมีคำศัพท์ที่ทำให้เกิดความสับสนได้นั้นคือ “กลฉ้อฉล”
ซึ่งเป็นพฤติการณ์หลอกลวงที่ส่งผลต่อการมีนิติสัมพันธ์ทางแพ่งเพียงเท่านั้น
สืบเนื่องจากคดีในกลุ่มของ “ฉ้อโกง” ส่วนใหญ่จะเป็นความผิดต่อส่วนตัว ซึ่งสามารถยอมความกันได้ดังนั้น
ประมวลกฎหมายอาญา จึงกำหนดระยะเวลาสำหรับการดำเนินคดีไว้ในเบื้องต้นคือ ผู้เสียหายต้องแจ้งความร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีภายใน 3 เดือน นับแต่รู้เรื่องความผิด และ รู้ตัวผู้กระทำความผิด หากผู้เสียหายไม่ไปแจ้งความร้องทุกข์ภายในระยะเวลา
ข้างต้นจะส่งผลให้คดีขาดอายุความไปโดยปริยาย
ดังนั้นหากท่านถูกบุคคลอื่นหลอกลวงแล้วได้ไปซึ่งทรัพย์สิน หรือไม่แน่ใจว่าการกระทำของบุคคลดังกล่าวเข้าข่ายของการฉ้อโกงหรือไม่ ขอแนะนำให้เข้าปรึกษาทนายความ เพื่อให้ทนายความตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
เพื่อป้องกันปัญหาเรื่องคดีขาดอายุความ อันจะทำให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายไม่ได้รับการชดใช้ค่าเสียหาย