สาเหตุการหย่าร้าง

ประวัติศาสตร์การหย่า

การหย่า หรือที่รู้จักอีกอย่างนึงคือ การยุติการสมรส เป็นขั้นตอนกฎหมายที่ยุติการสมรสและมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและหลายหลายขึ้นอยู่กับกฎหมายของแต่ละประเทศ จากยุคโบราณกาลจนถึงยุคสมัยใหม่ กฎหมายและทัศนคติเกี่ยวกับการหย่าร้างมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก โดยสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและบรรทัดฐานทางสังคมในแต่ละยุคสมัย

ประวัติศาสตร์และสาเหตุการหย่าร้างในประเทศไทย

ในประเทศไทย การหย่าร้างตามกฎหมายครอบครัวไทยมี 2 ประเภท คือ หย่าโดยความยินยอมและหย่าโดยคำพิพากษาของศาล หรือเรียกอย่างนึงว่า การฟ้องหย่า

กรณีการหย่าโดยคำพิพากษาของศาล หรือการฟ้องหย่านั้น จะต้องมีเหตุแห่งการฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยส่วนใหญ่การหย่าประเภทนี้ จะเป็นกรณีที่คู่สมรสไม่สามารถตกลงกันได้ในปัญหาที่เกิดขึ้น หรือมีข้อโต้แย้งในปัญหาดังกล่าวซึ่งจะมีความซับซ้อนและมีประเด็นที่อ่อนไหวมากกว่าการหย่าโดยความยินยอมอันคู่สมรสสามารถจะจบความสัมพันธ์ได้โดยปราศจากการมีข้อพิพาท ดังนั้นแล้วการหย่าประเภทนี้ จึงจำเป็นต้องให้ศาลเข้ามามีบทบาทและหาทางออกให้กับความสัมพันธ์ของคู่สมรสที่มีปัญหาซับซ้อนซ่อนอยู่จบลงด้วยดี

เหตุแห่งฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีดังต่อไปนี้

  1. (1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
  2. (2) สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว ไม่ว่าความประพฤติชั่วนั้นจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ถ้าเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่ง
    1. (ก) ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง
    2. (ข) ได้รับความดูถูกเกลียดชังเพราะเหตุที่คงเป็นสามีหรือภริยาของฝ่ายที่ประพฤติชั่วอยู่ต่อไป หรือ
    3. (ค) ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร ในเมื่อเอาสภาพ ฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบอีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
  3. (3) สามีหรือภริยาทำร้าย หรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ หรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ ถ้าเป็นการร้ายแรง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
  4. (4) สามีหรือภริยาจงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกินหนึ่งปี อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
    1. (4/1) สามีหรือภริยาต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก และได้ถูกจำคุกเกินหนึ่งปีในความผิดที่อีกฝ่ายหนึ่งมิได้มีส่วนก่อให้เกิดการกระทำความผิดหรือยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดนั้นด้วย และการเป็นสามีภริยากันต่อไปจะเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับความเสียหายหรือเดือนร้อนเกินควร อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
    2. (4/2) สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี หรือแยกกันอยู่ตามคำสั่งของศาลเป็นเวลาเกินสามปี ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
  5. (5) สามีหรือภริยาถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ หรือไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่เป็นเวลาเกินสามปีโดยไม่มีใครทราบแน่ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
  6. (6) สามีหรือภริยาไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควรหรือทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง ทั้งนี้ ถ้าการกระทำนั้นถึงขนาดที่อีกฝ่ายหนึ่งเดือดร้อนเกินควรในเมื่อเอาสภาพ ฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
  7. (7) สามีหรือภริยาวิกลจริตตลอดมาเกินสามปี และความวิกลจริตนั้นมีลักษณะยากจะหายได้ กับทั้งความวิกลจริตถึงขนาดที่จะทนอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาต่อไปไม่ได้ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
  8. (8) สามีหรือภริยาผิดทัณฑ์บนที่ทำให้ไว้เป็นหนังสือในเรื่องความประพฤติ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
  9. (9) สามีหรือภริยาเป็นโรคติดต่ออย่างร้ายแรงอันอาจเป็นภัยแก่อีกฝ่ายหนึ่งและโรคมีลักษณะเรื้อรังไม่มีทางที่จะหายได้ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
  10. (10) สามีหรือภริยามีสภาพแห่งกาย ทำให้สามีหรือภริยานั้นไม่อาจร่วมประเวณีได้ตลอดกาล อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

ติดต่อเรา

+66-2-254-5799 Contact