กฎหมายให้ความอิสระแค่คู่สัญญาในการตกลงข้อกำหนดต่างๆในสัญญาภายใต้กรอบที่กฎหมายให้อำนาจ ซึ่งไม่ว่าจะสัญชาติใด นิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดา ย่อมสามารถที่ทำสัญญากันได้ สัญญาจึงเป็นนิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาของบุคคล 2 คนโดยมีวัตถุประสงค์ร่วมและผูกพันตนตามสัญญา การร่างสัญญาจะต้องพิจารณาตามประเภทและวัตถุของสัญญาที่จะทำขึ้นว่ามีวัตถุประสงค์เช่นไร
ในปัจจุบันการทำสัญญาธุรกิจกับคู่สัญญาต่างสัญชาติ หรือต่างประเทศมีจำนวนมากขึ้น ข้อกำหนดเรื่องการระงับข้อพิพาทและกฎหมายที่ใช้ในการบังคับสัญญา จึงจำเป็นที่ต้องตกลงกันให้ชัดเจน
การร่างสัญญาธุรกิจ/การค้าภายใต้กฎหมายไทย การกำหนดศาลที่มีเขตอำนาจเจาะจงในสัญญาไว้กรณีมีข้อพิพาทนั้น ย่อมเป็นโมฆะ ไม่สามารถกระทำได้ การกำหนดขอบเขตศาลที่มีเขตอำนาจอย่างกว้างๆ นอกจากจะไม่ขัดต่อกฎหมายไทยแล้ว ยังเป็นตัวเลือกให้แก่คู่สัญญาในการที่นำคดีสู่ศาลที่มีเขตอำนาจได้ นอกจากนี้หากมีการกำหนดให้ใช้กฎหมายต่างประเทศ แต่ศาลที่มีเขตอำนาจคือศาลไทย คู่สัญญาฝ่ายที่นำเสนอคดีต่อศาลย่อมมีภาระการพิสูจน์ถึงกฎหมายต่างประเทศที่ใช้บังคับสัญญาดังกล่าวให้ศาลเห็น มิเช่นนั้นแล้วศาลจะนำกฎหมายไทยมาใช้บังคับแทนตามหลักกฎหมายขัดกันของไทย
แต่อย่างไรก็ตาม คู่สัญญายังมีอีกทางเลือกในกรณีที่มีข้อพิพาทกันเกิดขึ้น โดยสามารถตกลงกันในการใช้อนุญาตโตตาลุการในการระงับข้อพิพาทนั้น ซึ่งวิธีนี้นอกจากจะรวดเร็วกกว่าขั้นตอนในศาลแล้ว ยังลดค่าใช้จ่ายของคู่สัญญา และประหยัดเวลากันทั้งสองฝ่าย
ทั้งนี้ ต้องระวัง ถ้าหากได้กำหนดให้ระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการแล้ว คู่สัญญาจะต้องทำตามข้อตกลงดังกล่าว จะไม่สามารถนำคดีเสนอต่อศาลโดยทันที ภายหลังที่ข้อพาทได้มีการชี้ขาดโดยอนุญาโตตุลาการแล้วคู่สัญญาอีกฝ่ายไม่ได้ปฏิบัติตามคำชี้ขาดนั้นภายใน 3 ปี กรณีนี้สามารถไปร้องต่อศาลขอบังคับให้คู่พิพาททำตามคำชี้ขาดได้ภายใน 3 ปี โดยเอกสารที่ต้องนำไปร้องขอต่อศาลคือ
ซึ่งส่วนใหญ่ศาลก็จะบังคับให้ทำตามคำชี้ขาด โดยศาลจะปฏิเสธก็ต่อเมื่อมีเหตุทางกฎหมายเท่านั้น ถึงจะไม่มีการบังคับตามคำชี้ขาด ตัวอย่างเช่น คู่กรณีเป็นวิกลจริตหรือไม่สามารถตัดสินใจด้วยตนเองได้เป็นต้น